เอกสารประกอบการเรียนการสอน
เรื่อง กระบวนการสืบพันธุ์ของพืชดอก
การสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย
การสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศเมียในพืชดอกเกิดขึ้นภายในรังไข่
( ovary ) โดยที่ภายในรังไข่อาจมีหนึ่งออวุล
(ovule ) หรือหลายออวุล
ภายในออวุลมีหลายเซลล์ แต่จะมีเซลล์หนึ่งที่มีขนาดใหญ่ เรียกว่า เมกะสปอร์มาเทอร์เซลล์ ( megaspore mother cell ) เมกะสปอร์มีการขยายขนาดและแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิส 3 ครั้งด้วยกัน ทำให้เซลล์นี้มี 8 นิวเคลียส ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ๆ ละ 4 นิวเคลียส โดยกลุ่มหนึ่งจะอยู่ทางด้าน ไมโครไพล์ ( micropyle ) อีกกลุ่มหนึ่งจะอยู่ทางด้านตรงข้ามไมโครไพล์ ดังนั้นเมกะสปอร์ในระยะนี้มีนิวเคลียส
เป็น 3 กลุ่มอยู่ในบริเวณต่างๆ ดังนี้
1. กลุ่มที่อยู่ตรงข้ามไมโครไพล์
( micropyle ) มีนิวเคลียส 3 เซลล์
เรียกว่า แอนดิโพแดล (antipodals )
2. กลุ่มบริเวณตรงกลางมีนิวเคลียส 2 เซลล์ เรียกว่าโพลาร์นิวเคลียส ( polarnucleus หรือ polar nuclei )
3. กลุ่มทางด้านไมโครไพล์มีนิวเคลียส 3 เซลล์ ซึ่งมีนิวเคลียสอันตรงกลางจะมีขนาดใหญ่กว่าอันอื่นเป็น เซลล์ไข่
2. กลุ่มบริเวณตรงกลางมีนิวเคลียส 2 เซลล์ เรียกว่าโพลาร์นิวเคลียส ( polarnucleus หรือ polar nuclei )
3. กลุ่มทางด้านไมโครไพล์มีนิวเคลียส 3 เซลล์ ซึ่งมีนิวเคลียสอันตรงกลางจะมีขนาดใหญ่กว่าอันอื่นเป็น เซลล์ไข่
( egg cell ) อีก 2 เซลล์ที่ขนาบข้างเรียกว่า
ซินเนอร์จิด ( synergids )
การสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้
การสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้
การสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ของพืชดอกจะเกิดขึ้นภายใน อับเรณู (anther) โดยมีไมโครสปอร์มาเทอร์เซลล์
(microspore
mother cell) แบ่งเซลล์แบบไมโอซิสได้
4 ไมโครสปอร์ (microspore) แต่ละเซลล์มีโครโมโซมเท่ากับ n
หลังจากนั้นนิวเคลียสของไมโครสปอร์จะแบ่งแบบไมโทซิส
ได้ 2 นิวเคลียส คือ เจเนอเรทิฟนิวเคลียส (generative
nucleus) และทิวบ์นิวเคลียส (tube nucleus) เรียกเซลล์ในระยะนี้ว่า ละอองเรณู(pollen
grain)
หรือแกมีโทไฟต์เพศผู้
(male gametophyte) ละอองเรณูจะมีผนังหนา
ผนังชั้นนอกอาจมีผิวเรียบ
หรือเป็นหนามเล็กๆแตกต่างกันออกไปตามแต่ละชนิดของพืช
เมื่อละอองเรณูแก่เต็มท ี่อับเรณูจะแตกออก
ทำให้ละอองเรณูกระจายออกไปพร้อมที่จะผสมพันธุ์ต่อไปได้
การถ่ายละอองเรณู
การถ่ายละออกเรณูของพืชดอก (Pollination) หมายถึง
ปรากฏการณ์ที่ละอองเรณูปลิวมาตกบนยอดเกสรตัวเมียของดอกชนิดเดียวกัน การถ่ายละออกเรณูเกิดขึ้นเมื่อละอองเรณูเจริญเต็มที่
อับเรณูจะแตกออกทำให้ละอองเรณูกระจายออกไป โดยอาศัยลม น้ำ โดยเฉพาะ แมลง
มีความสำคัญมากในการถ่ายละอองเรณูของพืชดอก และบนยอดเกสรตัวเมีย
โดยจะมีน้ำเหนียวๆ(Stigma) ที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ
ซึ่งช่วยในการดักละอองเรณู
การถ่ายละอองเรณู มี 2 แบบ คือ
1. การถ่ายละอองเรณูในดอกเดียวกัน
หรือคนละดอกในต้นเดียวกัน (Self pollination) การถ่ายละอองเรณูแบบนี้จะทำให้รุ่นลูกมีสมบัติทางกรรมพันธุ์เหมือนเดิม
ถ้าเป็นพันธุ์ดีก็จะถ่ายทอดลักษณะพันธุ์ดีไปเรื่อย ๆ
2. การถ่ายละออกเรณูคนละดอกของต้นไม้คนละต้นในพืชนิดเดียวกัน (Cross pollination) เป็นการถ่ายละอองเรณูแบบข้ามดอก หรือต่างต้นกัน ก็จะทำให้พืชมีลักษณะต่างๆ หลากหลายและอาจจะได้พืชพันธุ์ใหม่ ๆขึ้นมาได้
2. การถ่ายละออกเรณูคนละดอกของต้นไม้คนละต้นในพืชนิดเดียวกัน (Cross pollination) เป็นการถ่ายละอองเรณูแบบข้ามดอก หรือต่างต้นกัน ก็จะทำให้พืชมีลักษณะต่างๆ หลากหลายและอาจจะได้พืชพันธุ์ใหม่ ๆขึ้นมาได้
การปฏิสนธิของพืชดอก
เมื่อ ละอองเรณู ตกลงสู่
ยอดเกสรตัวเมีย ละอองเรณูจะงอกท่อยาว เรียกว่า พอลเลนทิวบ์ (Pollen tube) ลงสู่ก้านเกสรตัวเมีย
ทิวบ์นิวเคลียสจะเคลื่อนตัวไปตามท่อ ผ่านทางรู ไมโครไพล์ (Micropyle) ของออวุล
ในขณะนี้เจเนเรทีฟนิวเคลียส (Generative nucleus) จะแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซีสได้สเปิร์มนิวเคลียส (Sperm nucleus) 2 ตัว เข้าผสมกัน นิวเคลียสของไข่ (Egg cell) ได้ไซโกต (2n) ซึ่งจะเจริญเป็นเอมบริโอต่อไป
ส่วนอีกนิวเคลียสจะผสมกับโพลาร์นิวคลีไอ (Polar nuclei) เจริญเป็นเอนโดสเปิร์ม
(3n) ซึ่งเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงเอมบริโอการผสมซึ่งเกิดจากการผสม
2 ครั้งนี้เรียกว่า การปฏิสนธิซ้อน (Double Fertilization) ซึ่งพบเฉพาะใน พืชดอก
หลังจากปฏิสนธิแล้ว
หลังจากปฏิสนธิแล้ว
·
รังไข่ (ovary
) เจริญเป็น ผล
·
ผนังรังไข่ (ovary
wall ) เจริญเป็น เปลือกและเนื้อของผลไม้
·
ออวุล (ovule
) เจริญเป็น เมล็ด
·
ไข่ (egg
) เจริญเป็น
ต้นอ่อนอยู่ภายในเมล็ด
·
โพลาร์นิวเคลียส (polar nucleus ) เจริญเป็น เอนโดสเปิร์ม
·
เยื่อหุ้มออวุล (integument ) เจริญเป็น เปลือกหุ้มเมล็ด
·
สำหรับส่วนประกอบอื่น ๆ ของดอกจะเหี่ยวแห้งและสลายตัวไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น